One Day Durian Trip อิ่มอร่อยในวิถีชุมชนยั่งยืน @ ศรีสะเกษ : ปาณี ชีวาภาคย์
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ตั้งใจเลยว่าจะไปชิมทุเรียนภูเขาไฟของดีจังหวัดศรีสะเกษสักหน่อย เมื่อไปเหยียบถิ่นดอกลำดวนถึงได้แปลกใจ นึกว่ามาผิดที่หรือเปล่า เพราะมีแต่ผลไม้ เช่น เงาะ มังคุด กระท้อน ลำไย ลองกอง ลิ้นจี่ และทุเรียนเต็มตลาด บรรยากาศเหมือนอยู่จันทบุรีเลย
โดยเฉพาะทุเรียนที่มีจุดขายว่าอร่อยกว่าที่อื่น ๆ เพราะปลูกด้วยดินภูเขาไฟ ทำเอานักเปิบทุเรียนทั่วทั้งประเทศตื่นเต้นกันยกใหญ่ จัดทัวร์กินทุเรียนมุ่งสู่ศรีสะเกษกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ แน่นทุกสวน เพื่อลองลิ้มชิมรสชาติแปลกใหม่ของทุกเรียนจังหวัดนี้
เรียกรอยยิ้มจากชาวสวนทุเรียนศรีสะเกษกันถ้วนหน้า เพราะปีนี้ผลผลิตดี ราคาดี ส่งผลให้รายได้ดีตามไปด้วย
ทุเรียนศรีสะเกษเพิ่งมาดังได้ 2-3 ปีมานี้ ดิฉันคิดว่าน่าจะดังหลังทุเรียนหลงลับแลจากอุตรดิตถ์เสียอีก จึงทำให้แปลกใจเหมือนหลาย ๆ คนว่าภาคอีสานก็ปลูกทุเรียนได้เหรอ
ความจริงเส้นทางทุเรียนเดินทางจากสวนเมืองนนทบุรี ข้ามไปภาคตะวันออกอย่างระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี ส่วนที่ศรีสะเกษนั้น ทศพล สุวะจันทร์ ประธานชมรมผลไม้และเป็นเจ้าของสวนทศพลบอกว่า นำพันธุ์ทุเรียนจากจันทบุรีมาปลูกที่สวนของเขาเมื่อปี 2531 หรือประมาณ เกือบ 30 ปีมาแล้ว และเริ่มเปิดสวนขายทุเรียนครั้งแรกเมื่อปี 2541
“ ตอนนั้นชาวสวนศรีสะเกษยังปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง ราคาก็ไม่ค่อยดี มีอยู่วันหนึ่งผมไปดูข่าวในโทรทัศน์บอกว่าชาวสวนจันทบุรีปลูกทุเรียนมีรายได้ปีละ2-3 แสน ก็เลยตัดสินใจลองปลูกบ้าง”
ทศพลเดินทางไปศึกษาดูงานตามสวนที่จันทบุรีรวมถึงจังหวัดชุมพรด้วย ในที่สุดเขาก็นำต้นทุเรียนหมอนทองจากจันทบุรีมาลองปลูกอยู่ 3-4 ไร่ ปัจจุบันสวนทศพลปลูกทุเรียนเต็มพื้นที่ 28 ไร่และได้รับเลือกให้เป็นแปลงต้นแบบทุเรียน จากสำนักงานเกษตรอำเภอกันทรลักษณ์
ในช่วงฤดูกาลทุเรียนนั้น จะมีลูกค้าจัดทัวร์มาชิมผลไม้ในสวนทศพลทุกวัน โดยเขาคิดเป็นราคาต่อหัว มีอาหารกลางวัน และทุเรียนแถมให้ชิม ส่วนใครจะซื้อกินหรือซื้อฝากก็สั่งได้ในราคาหน้าสวนกิโลกรัมละ100 บาท
น่าแปลกมาก เพราะศรีสะเกษ สามารถปลูกทุเรียนได้แค่ 3 อำเภอเท่านั้นคือ กันทรลักษณ์ ขุนหาญและศรีรัตนะ ซึ่งทั้ง 3 อำเภอนี้อยู่ในเขต “ภูดินแดง” คือดินร่วนปนทราย ซึ่งเป็นแนวภูเขาไฟเก่ามีพื้นที่กว้างขวาง อยู่ลึกเข้ามาจากแนวเทือกเขาพนมดง แต่เดิมปลูกได้แค่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง และกระเทียม แต่เมื่อนำต้นทุเรียนจากจันทบุรีมาปลูกในพื้นที่ดินภูเขาไฟ รสชาติทุเรียนที่ได้จึงแตกต่างจากจันทบุรีซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดเดิม คือเนื้อแห้งแน่นหนา กรอบนอกนุ่มใน รสหวานมันมากกว่าปกติ แต่กลิ่นไม่แรง จึงเป็นที่ถูกใจของเหล่าทุเรียนเลิฟเวอร์เป็นอันมาก
ดังนั้น ใครจะไปเที่ยวชิมผลไม้ที่ศรีสะเกษ ขอแนะนำให้ไป 3 อำเภอนี้เท่านั้น อย่าหลงไปอำเภออื่นเด็ดขาดจะเสียเวลาในการชิมผลไม้ ถ้าไม่รู้จักหรือไม่มีใครแนะนำก็ขับรถบุกไปตามสวนเลย เพราะทุกสวนเปิดรับนักท่องเที่ยวที่มาชิมด้วยอัธยาศัยดีใบหน้ายิ้มแย้ม
One Day Trip ชิมทุเรียนของดิฉันนั้น พอดีได้เพื่อนที่อยู่ศรีสะเกษ คือ คุณนงค์ลักษ์ รัตนพันธุ์ เป็นธุระนัดแนะสวนทุเรียนที่รู้จักให้แล้วจึงง่ายขึ้นหน่อย ทริปเราออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้า เริ่มที่อำเภอกันทรลักษณ์ก่อน ขับรถซอกแซกไปตามสวนจะเห็นเหล่านักชิมขับรถส่วนตัวบ้าง รถตู้บ้าง หรือถ้าเป็นคณะใหญ่ก็เหมารถบัสกันมาเลย ขนาดดิฉันไปวันธรรมดายังเห็นนักชิมเยอะพอสมควร แต่ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์ จะแน่นแทบทุกสวนค่ะ
เราแวะสวนแรก ชื่อสวนทุเรียนแม่สำเนียง บ้านชำตารมย์ ( โทร 096-103-5450) หลานสาวเจ้าของสวนมานั่งขายทุเรียนอยู่หน้าสวนด้วยรอยยิ้มสดใส เธอเล่าให้ฟังว่าสวนของเธอเพิ่งมาปลูกทุเรียนเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีซีพีมาคอยแนะนำในการดูแลตั้งแต่การปลูก การให้ปุ๋ย การดูแลจนถึงเก็บผล และรับซื้อด้วย
ถ้าเรานัดเจ้าของสวนว่าจะไป เขาจะคัดทุเรียนเก็บไว้ให้ก่อน แต่ถ้าไม่นัดอาจจะต้องไปเสี่ยงโชค เพราะบางสวนอาจจะเหลือทุเรียนตกเกรดคือลูกเล็กหรือไม่สวยมาขายก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามทุกสวนจะขายราคาหน้าสวนเท่ากันหมดคือกิโลละ100 บาท
สำหรับสวนแม่สำเนียงนั้น เป็นทุเรียนหมอนทองคัดลูกใหญ่ ประเดิมอุ่นเครื่องกันก่อน พวกเราเลือกทุเรียนลูกขนาด 3 โลกว่าได้พูใหญ่เต็มไม้เต็มมือดี แกะออกมาปรากฏว่าความสุกกำลังกินมาก กัดไปคำแรกรสหวานมันแซงหน้าขึ้นมาก่อนเลย สังเกตว่าทุเรียนของศรีสะเกษจะมีรสมันแบบที่เรียกว่า “ครีมมี่” มากกว่าทุกจังหวัด แต่กลิ่นกลับไม่รุนแรง ( อาจจะเป็นข้อดีตรงที่หลังกินแล้วเรอจะไม่มีกลิ่นแรงรบกวนคนข้างเคียง)
ตื่นเต้นกับรสชาติทุเรียนศรีสะเกษที่ทุกคนบอกว่า “ผ่าน” เราก็เลยเลือกหมอนทองอีกลูกเพื่อหิ้วกลับไปกินกัน โดยให้แม่ค้าเลือกให้สุกทันกินพรุ่งนี้ตอนเย็น
จากนั้น ก็ขับรถแวะไปสวนทศพลในพื้นที่ ต.ตระกาจ ซึ่งเป็นสวนทุเรียนขนาดใหญ่ชื่อดังระดับอำเภอ จึงมีลูกค้าเหมารถทัวร์แวะมาหลายคน ดูคึกคักวุ่นวายพอสมควร รอบนี้พวกเราไม่ค่อยมีโชคเพราะเขาเก็บทุเรียนคัดไว้ให้ลูกค้าทัวร์หมดแล้ว จึงเหลือหมอนทองตกเกรดอยู่ 2 เข่งให้พวกเราเลือกชิม ซึ่งรสชาติก็หวานอร่อยดี นอกจากนี้ยังมีทุเรียนกวนโลละ 600 บาท กับทะเรียนทอดกรอบโละ1,200 บาท ให้ลูกค้าซื้อติดมือเป็นของฝาก
ตระเวนชิมไป 2 สวน เวลาก็เกือบจะบ่ายสองแล้ว เลยแวะทานข้าวกลางวันก่อนที่จะมุ่งหน้าที่ยังอำเภอขุนด่าน ใครที่มาเส้นทางนี้ขอแนะนำให้แวะร้าน “ครัว...บ้านลี” ( อยู่ใกล้โลตัส ตรงข้ามโชว์รูมอีซูซุ โทร.098-9562497) ที่แนะนำร้านนี้เพราะหลายวันที่มาพักศรีสะเกษ ดิฉันยังหาร้านอาหารอร่อย สะอาด ถูกใจไม่ได้เลย
นั่งปุ๊บเจ้าของร้านคนสวย คุณทิพวัลย์ ลีธีระประเสริฐ ก็เสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อยแบบเวียดนามคือ ข้าวเกรียบปากหม้อญวนร้อนกรุ่นรสชาติหอมอร่อย กับสลัดผักสดใส่มาในข้าวเกรียบงาแผ่นใหญ่สวยงามและอร่อยถูกปากมาก อาหารที่นี่มีหลากหลาย ทั้งอาหารไทย เวียดนาม และฝรั่ง ราคาเริ่มต้นที่ 50 บาท ร้านตกแต่งสวยงาม ฝีมือน่าจะถูกปากคนกรุงเทพฯ เพราะคุณทิพวัลย์เป็นเจ้าของร้านอาหารตะกร้าแดง ที่ตลาดมองบาเช่ด้วยค่ะ
อิ่มอร่อยกับมื้อเที่ยงอย่างอิ่มเอม ทัวร์ทุเรียนก็มุ่งหน้าสู่อำเภอขุนหาญซึ่งใช้เวลาพอสมควร จุดหมายปลายทางคือสวนพ่อวรรณา บ้านซำขี้เหล็ก ( โทร.081-7906564 ) เป็นสวนขนาดใหญ่ ซึ่งมีทั้งทุเรียนหมอนทอง ชะนี ก้านยาว พวงมณี นอกจากนี้ยังมีเงาะ มังคุด กระท้อน ชมพูมะเหมี่ยว โดยมีคุณวรรณ ลูกสะใภ้เจ้าของสวนมาคอยต้อนรับ และพาพวกเราเดินชมสวน
สวนพ่อวรรณา เริ่มปลูกทุเรียนมาเมื่อ 40 ปีก่อน โดยนำพันธุ์มาจากจันทบุรี คุณวรรณบอกว่าทุเรียนศรีสะเกษเพิ่งมาเป็นที่นิยมเมื่อ 2 – 3 ปีนี้เอง โดยทางจังหวัดกับททท.โปรโมทว่าเป็นทุเรียนดินภูเขาไฟ จึงมีคนนอกพื้นที่แห่มาเที่ยวชิมตามสวนกัน แต่ปกติแล้วบริษัทซีพีจะมาเหมาตามสวนเพื่อส่งออกไปประเทศจีน
ขณะนี้หลาย ๆ สวนที่เคยปลูกต้นยางเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนยางได้ราคา พอตอนนี้ราคายางตกก็เริ่มตัดต้นยางเพื่อใช้พื้นที่มาปลูกทุเรียนกันหมด ดิฉันถามคุณวรรณว่าไม่กลัวทุเรียนล้นตลาดเหรอ เธอบอกว่าทุกวันนี้ไม่พอขายเพราะคนจีน ฮ่องกง สิงคโปร์มาเหมาไปหมด โดยปีนี้ผลผลิตทุเรียนของศรีสะเกษอยู่ที่ 80,000 ตัน และจะเริ่มออกสู่ตลาดเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป
คุณวรรณพาพวกเราชมสวนซึ่งกว้างมาก ทุเรียนทุกต้นกำลังออกผลห้อยลงมาเต็มไปหมดทุกกิ่ง พอดีมีทุเรียนชะนีสุกคาต้น เจ้าของสวนเลยปอกให้ชิมใต้ต้นได้บรรยากาศดีมาก เนื้อสีเหลืองจัด รสหวาน ส่วนกลิ่นไม่แรงเหมือนชะนีทั่วไป
จากนั้นก็แวะไปเลือกทุเรียนในบ้านซึ่งตัดเก็บไว้เป็นเข่ง ๆ มาสวนนี้ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า เดี๋ยวนี้ชาวสวนทุเรียนศรีสะเกษเปิดช่องทางขายด้วยโซเชียลมีเดีย และส่งทุเรียนตามออร์เดอร์ลูกค้าไปทั่วราชอาณาจักร แถมทุเรียนทุกลูกติดป้ายรับประกันคุณภาพโดยกลุ่มผู้ปลูกทุเรียนและสามารถตรวจสอบได้จากQR Code อีกด้วย ทันสมัยจริง ๆ
พวกเราจึงแห่กันซื้อทุเรียนคนละหลายลูกให้ไปส่งถึงบ้านในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถเลือกว่าจะกินทุเรียนลูกไหนให้สุกวันไหน แล้วแพคใส่กล่องขนาดใหญ่ ส่งทางไปรษณีย์ไปถึงบ้านเลย ไม่ต้องหอบหิ้วขึ้นเครื่องบิน ( ซึ่งไม่อนุญาตให้นำทุเรียนขึ้นเครื่องอยู่แล้ว) สนนราคาหน้าสวนกิโลละ 100 บาท ทุเรียนส่งถึงบ้านราคาพร้อมค่าส่งกิโลละ 120 บาท
คุณวรรณบอกว่า สวนนี้จะมีผลผลิตทุเรียนให้ชิมกันไปจนถึงเดือนสิงหาคม ดังนั้นเหล่าทุเรียนเลิฟเวอร์ทั้งหลายค่อย ๆ ทยอยมาก็ได้นะคะ
จบ One Day Durian Trip อย่างอิ่มเอมเปรมปรีย์กันถ้วนหน้า
ศรีสะเกษ ซึ่งครั้งหนึ่งได้ฉายา “ทุ่งกุลาร้องไห้” เพราะความแห้งแล้งเป็นดินทรายไปหมด จนชาวบ้านไม่สามารถใช้พื้นที่ทำการเกษตรได้ แต่ปัจจุบันจังหวัดนี้มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะเขต 3 อำเภอคือกันทรลักษณ์ ขุนหาญและศรีรัตนะ กลายเป็นแหล่งปลูกเงาะทุเรียนเพื่อการส่งออกมากที่สุดในประเทศไทย
เมื่อถึงเดือนมิถุนายนของทุกปีหลาย ๆ หน่วยราชการของจังหวัดจะร่วมกันจัดเทศกาลเงาะ ทุเรียนและของดีศรีสะเกษ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของจังหวัด สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่คนศรีสะเกษให้มีงานทำ มีคุณภาพชีวิตที่และไม่ต้องอพยพเข้ามาในเมืองเพื่อหางานทำอีกต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น